มหัศจรรย์ของการคิดอย่างเป็นระบบ (The Miracle of Systematic Thinking)

สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่าเกิดขึ้นจากจิตที่เชื่อมโยงกับการคิดอย่างเป็นระบบอย่างเป็นอัตโนมัติที่เริ่มต้นจากภายในตัวเรา

1. สมองจะควบคุมการกระทำ ของกาย วาจา และความคิด เช่น สมองสั่งให้ร่างกายหยิบแก้วน้ำ หรือยกของหนักสมองจะสั่งร่างกายได้ แต่ร่างกายจะทำได้มีประสิทธิภาพหรือไม่ก็ขึ้นกับคุณภาพของกายนั้น หรือ อย่างเช่น สมองสั่งได้ให้เราพูดดี ให้คนรัก ให้คนชอบ แต่จะได้ผลหรือไม่ ก็ขึ้นกับคุณภาพของการพูดที่ได้รับการฝึกฝนและเรียนรู้มา

2.แต่สิ่งที่ควบคุมสมองอีกชั้นหนึ่ง ก็คือ จิตใจ ถ้าจิตใจดีก็จะทำให้สมองคิดในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ ซึ่งบางครั้งจิตใจก็อาจข้ามไปที่การกระทำโดยไม่ผ่านสมอง เช่น จิตใต้สำนึก และช่วงเวลาที่สมองไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือช่วงเวลาฉุกเฉินที่สมองคิดไม่ทันแต่ร่างกายต้องเอาตัวรอดเป็นต้น นั่นหมายความว่าถ้าใครสามารถฝึกให้เกิดการคิดอย่างเป็นระบบโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ร่างกาย คำพูดและความคิดก็จะตอบสนองโดยอัตโนมัติ ตามที่จิตได้โปรแกรมไว้

3.ดังนั้นถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุด เราต้องฝึกการควบคุมจิต เพื่อมาควบคุมการกระทำ แต่การควบคุมจิตเป็นเรื่องยากต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่า คือ การควบคุมการกระทำให้ย้อนกลับไปควบคุมจิต เช่น การทำกายให้ดี วาจาให้ดี และคิดดี จะส่งผลย้อนกับไปให้จิต ให้จิตกลายเป็นจิตที่ดี

4.การจะควบคุมสิ่งใดได้ เราต้องแข็งแกร่งกว่าสิ่งนั้น การควบคุมจิตก็เช่นกัน เราต้องฝึกให้จิตแข็งแรง และต้องสั่งให้เป็นนิสัยจนเคยชิน ทั้ง ความคิด คำพูดและการกระทำ ต้องสอดคล้องกันกับจิต ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เป็นการตอกย้ำภาพที่ชัดเจนตรงกัน และให้เข้าใจง่ายที่สุด เพราะจะสะดวกให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น เราจิตเราสั่งให้เราคิดอย่างไร เราก็ต้องคิดอย่างนั้นจริงๆ พูดและทำอย่างนั้น ไม่ขัดแย้งกันเอง เช่น คิดว่าทำได้ แต่พูดว่าทำไม่ได้ หรือ พูดว่าทำได้แต่ไม่ได้อย่างทำให้ได้จริงๆ อย่างนี้จะเกิดความขัดแย้ง จิตที่เราคิดว่าจะควบคุมให้ได้ ก็จะสับสน และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการให้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ก็จะทำให้เกิดความสับสนในความคิดจนไม่สามารถสร้างให้เป็นระบบได้ ศรัทธาอย่างไรเชื่อมั่นอย่างนั้น คิด พูด ทำสอดคล้องและตอกย้ำอย่างเป็นรูปธรรม

5.เมื่อเราเริ่มควบคุมจิตได้แล้ว เราต้องเคลื่อนจิตไปข้างหน้า ไปทางบวก อย่าเคลื่อนจิตไปทางลบเด็ดขาด ต้องคิดบวกเท่านั้น การคิดบวกไม่ใช่หมายถึงมองโลกในแง่ดี แต่คิดบวกหมายถึงสิ่งที่เกิดมาแล้วจะเห็นเป็นประโยชน์ได้อย่างไร เห็นปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ เพราะการคิดบวกเท่านั้น ที่จะมีพลัง กำลังใจ และจะเป็นประโยชน์ในอนาคต เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจบไปแล้ว ที่เหลือจะมีแค่ปัจจุบัน กับอนาคตเท่านั้น หลักการคือ คิดถึงแต่สิ่งที่อยากได้เท่านั้น ถ้ามองก็ให้เห็นเป้าหมาย เห็นเส้นทางที่ต้องการเท่านั้น (เพราะการคิดถึงแต่ปัญหา คิดลบ หรือสิ่งที่ไม่อยากได้ จิตใจจะคิดไปในทางลบโดยอัตโนมัติ และจะเกิดความท้อแท้ สิ้นหวัง และจะเห็นแต่ปัญหา เช่น เมื่อไม่อยากเห็นอะไร กังวลอะไร จิตใจจะพาแต่มองหาสิ่งนั้น คิดถึงสิ่งนั้น เสมอทำให้เราไม่ได้คิดถึงเป้าหมาย หรือสิ่งที่อยากได้ ดังนั้นต้องคิดถึงสิ่งที่อยากได้ จะทำให้เกิดการโฟกัส และหาเส้นทางที่จะไปยังเป้าหมายโดยอัตโนมัติ)

6.การคิดไปข้างหน้า ต้องชัดเจน ซึ่งความท้าทายของการคิดไปข้างหน้าก็คือ จินตนาการ เพราะตัวเราไม่เคยไปถึงสิ่งที่อยู่ในอนาคตมาก่อน ดังนั้นภาพที่ต้องชัดเจนก็คือ ภาพที่เราต้องจินตนาการขึ้นมาให้เห็นเป็นเป้าหมาย จิตนึกไม่ออกถึงสิ่งที่เราไม่เคยไป จิตจะรู้จักเท่าที่เรามีประสบการณ์ ไม่สามารถรู้ไกลเกินกว่าความรู้ที่แต่ละคนมี ดังนั้นจินตนาการถึงเป้าหมายในอนาคตของแต่ละคน ต้องมีความกล้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ว่าเรากล้าที่จะท้าทายอนาคตมากแค่ไหน เราต้องทำให้สิ่งนั้นชัดเจนในจินตนาการ เหตุผลก็เพื่อให้ทุกสิ่งในร่างกายและจิตใจของเรา มีเป้าหมายเป็นภาพที่สอดคล้องและร่วมกันทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ส่งเสริม ไม่ขัดแย้ง โฟกัสและไม่สับสน

7. เมื่อทุกอย่างชัดเจนในภาพจินตนาการของความคิดที่อยู่ในอนาคต จิตจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ ด้วยการคิดว่าจะไปถึงสิ่งนั้นได้อย่างไร จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้อย่างไร (จังหวะนี้จิตต้องไม่คิดลบแล้ว และต้องไม่สับสน ต้องมีศรัทธาและความเชื่อ เพราะถ้าไม่ชัดและขัดแย้ง จิตจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ) เมื่อจิดไม่ขัดแย้ง จิตจะค้นหาวิธี จากประสบการณ์ของเราในอดีต จากการอ่าน การฟัง การดู และประสบพบเจอมา เพื่อมาคัดหาวิธีที่สามารถจะเป็นไปได้จากความรู้ที่มี

8. เมื่อจิตสั่งสมองไปค้นหาวิธีจากข้อมูลประสบการณ์ว่าอะไรบ้างที่จะช่วยให้ภาพเป้าหมายที่วาดไว้สำเร็จได้ ถึงตรงนี้ คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์หรือความรู้จะเสียเปรียบและหาหนทางได้ยากกว่า คนที่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน คนที่ไม่เคยผ่านอะไรมาเลยก็เท่ากับว่าจิตจะนึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะบรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุด ก็คือ การเพิ่มประสบการณ์และความรู้ ต้องขยัน หาความรู้ และเรียนรู้ให้มาก เรียนรู้ให้เร็วและลองผิดลองถูก เพื่อเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการเดินทางสู่เป้าหมาย

9. จากนั้นจิตจะเลือกวิธีที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ เท่าที่คิดออก(ถ้าประสบการณ์ดีก็จะนำมาสู่ทางที่ดี) จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทดลองความสำเร็จ เช่น ลองทำดู ลองพูดดู การทดลองนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างที่บอกคือ เส้นทางในอนาคตเราไม่รู้แน่ชัดว่าเส้นทางไหนถูกต้องจนกว่าจะได้ลองเดินไป ดังนั้นเมื่อเราทดลองไปเรื่อยๆ เราจะเรียนรู้ว่าทางไหนใกล้เป้าหมายมากที่สุดโดยดูจากผลของการทดลอง ถึงตรงนี้หลายคนหยุดไปแล้ว เพราะยอมแพ้ไปแล้ว ไม่ทดลองและเรียนรู้ต่อ #การไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่นเพื่อหาคำตอบเพื่อบรรลุเป้าหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้

10.เมื่อได้คำตอบที่ดีแล้วเส้นทางที่เหมาะสมแล้ว เราจะเริ่มการพัฒนาให้ดีขึ้น โดยจิตจะสั่งให้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าทำอย่างไรให้ดีขึ้น เช่นไปศึกษาต่อ ทดลองต่อ หรือดูคนอื่นว่าใครสามารถทำให้คำตอบนั้นดีขึ้นได้ ใคร ทำอะไร ที่ไหนอย่างไรแล้วบ้าง การเติมข้อมูลเพื่อการพัฒนาจะเป็นสิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้

11. ถึงตรงนี้ทุกคน จะได้คำตอบของตัวเองแล้วว่าอะไรคือ เส้นทางที่เลือกเดิน อะไรคือวิธีการที่ทดลองเพื่อเดินทางสู่เป้าหมาย ที่เกิดจากการปรับปรุงคำตอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น หลายคนก็เลิกล้มที่ตรงนี้ เพราะคำตอบและวิธีการไม่ได้ผลอย่างที่ใจต้องการ เหตุผลที่เรายอมแพ้ตรงนี้ คือ 1.ข้อมูลของประสบการณ์ของเราน้อยเกินไปที่จะหาวิธีที่ดีได้ 2. เราไม่ศรัทธาต่อเป้าหมายเพียงพอ คือ ไม่ได้อยากที่่จะไปเท่าไหร่ 3.ให้เวลาน้อยเกินไปหรือรีบร้อนกับความสำเร็จมากเกินไป ดังนั้นให้เวลาและไม่ยอมแพ้และเอาจริงเอาจังจึงเป็นสิ่งสำคัญของขั้นตอนนี้ และสุดท้ายจะได้หนทางที่แท้จริงในการเดินทางสู่เป้าหมาย

12. หลายคนเมื่อบรรลุเป้าหมายตามจินตนาการ หรือ เหนือกว่าจินตนาการ แล้วจะล้มเหลว เพราะถึงเป้าหมายเร็ว และสั้นเกินไป พอได้แล้วไปต่อไม่ได้ จินตนาการต่อไม่ได้ หาเป้าหมายในอนาคตไม่เจอ เช่น คนที่รวยและดังช่วงอายุน้อย พออายุ 30 ก็ถึงจุดสูงสุดแล้ว ถ้าวางแผนต่อไม่ดีผ่านจุดสูงสุดก็จะกลายเป็นจุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ และยังเหลือเวลาอีกมากที่ต้องทำใจกับจุดที่ต่ำลง ดังนั้นเป้าหมายที่ดีต้องเป็นเป้าหมายระยะยาว และเป็นเป้าหมายที่มีการพัฒนาขึ้นตลอดเวลา ไม่หยุดหรือยินดีกับสิ่งที่สำเร็จแล้วนานเกินไป ต้องเปลี่ยนเป้าหมายที่สำเร็จให้เป็นเป้าหมายระยะสั้น และสร้างเป้าหมายระยะยาวขึ้นมาอยู่เสมอ

บทสรุปของการคิดอย่างเป็นระบบบ ก็คือ การสั่งจิตให้ทำงานร่วมกันกับ ความคิด การกระทำ และคำพูด ให้สอดคล้องและฝึกจนเป็นอัตโนมัติในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และปรับเปลี่ยนทดลองวิธีการโดยการเรียนรู้และหาวิธีการที่ดีในการบรรลุเป้าหมายนั้น ฝึกจนชำนาญ จนเป็นวงกลมไม่รู้จุดเริ่มต้น เช่น มีความสุขแล้วยิ้ม หรือ ยิ้มแล้วมีความสุข ไม่รู้อะไรเกิดก่อน คิดจนภาพนั้นชัดเจนราวกับว่าความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นแล้ว ให้ความสำเร็จในจินตนาการเกิดขึ้นก่อนความสำเร็จที่ตัวเราไปถึง

การคิดอย่างเป็นระบบเพื่อผลสำเร็จอย่างมหัศจรรย์

ธวัชชัย บัววัฒน์
Tawatchai Buawat

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s