อคติทางปัญญา(Cognitive Biases) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิดและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ(Systematic Thinking)
อคติทางปัญญาหรือการรับรู้ เป็นหลุมพลางทางความคิดที่ส่งผลกระทบต่อการคิดอย่างเป็นระบบเมื่อผู้คนประมวลผลและตีความข้อมูลในโลกรอบตัวอย่างมีอคติ ซึ่งส่งผลต่อการคิดและการตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สมองของมนุษย์นั้นทรงพลังแต่ก็มีข้อจำกัด อคติมักเป็นผลมาจากความพยายามของสมองในการลดความซับซ้อนในการประมวลผลข้อมูล อคติมักทำหน้าที่เป็นกฎทั่วไปที่ช่วยให้คุณเข้าใจโลกและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
อคติเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับความทรงจำ วิธีที่คุณจดจำเหตุการณ์อย่างมีอคติด้วยเหตุผลหลายประการ และอาจนำไปสู่การคิดและการตัดสินใจที่มีอคติตามมา
อคติด้านการรับรู้เฉพาะเรื่องที่สนใจ เนื่องจากมนุษย์เรามีพื้นที่สำหรับความสนใจที่จำกัด ดังนั้นผู้คนก็มักจะมีอคติกับเรื่องที่สนใจ ซึ่งมาการคิดและความสนใจมีอคติ สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นเหมือนเชื้อที่แพร่ให้มีมีอิทธิพลต่อวิธีที่คุณเห็นและคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้
สัญญาณของอคติทางปัญญา
ทุกคนมีอคติทางปัญญา ซึ่งปกติเรามักจะใช้มันในการมองและตัดสินคนอื่น แต่สิ่งที่คุณควรต้องรู้ไว้ก็คือ มันเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความคิดของคุณด้วย สัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าคุณอาจได้รับอิทธิพลจากอคติด้านการรับรู้บางประเภท ได้แก่:
- ให้ความสนใจเฉพาะข่าวที่ตรงกันกับความคิดเห็นของคุณ
- โทษปัจจัยภายนอกเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คุณต้องการ
- ถือว่าความสำเร็จของผู้อื่นเป็นเรื่องโชคดี แต่ให้เครดิตกับความสำเร็จของตนเอง
- เรียนรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับหัวข้อหนึ่งๆ แล้วสมมติว่าคุณรู้ทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับหัวข้อนั้น
- คุณชอบคิดว่าคุณเป็นกลาง มีเหตุผล
ประเภทของอคติทางปัญญาในแบบต่างๆที่สำคัญ
1.อคติระหว่างผู้เล่นกับผู้ดู(Actor-observer): : อคติที่มองว่าการกระทำของคุณเองเกิดจากสาเหตุภายนอก ในขณะที่ถือว่าพฤติกรรมของผู้อื่นเกิดจากสาเหตุภายใน ตัวอย่างเช่น คุณคิดว่าระดับคอเลสเตอรอลสูงของคุณเกิดจากพันธุกรรม ในขณะที่คุณมองคนอื่นมีระดับคอเลสเตอรอลสูงเนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีและขาดการออกกำลังกาย คือ คิดว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับคุณมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนอื่น ก็เป็นความผิดของพวกเขาทั้งหมด
2.อคติจากการปักใจเชื่อ(Anchoring) : อคติในการพึ่งพาข้อมูลชิ้นแรกๆ ที่คุณที่คุณเห็นและประทับใจก่อนมากเกินไป ตัวอย่างเช่น หากคุณเรียนรู้ว่าราคาเฉลี่ยของรถยนต์เป็นมูลค่าที่แน่นอน คุณจะคิดว่าจำนวนเงินที่ต่ำกว่านั้นเป็นราคาที่ดี บางทีอาจไม่ได้ค้นหาข้อเสนอที่ดีกว่า คุณสามารถใช้อคตินี้เพื่อกำหนดความคาดหวังของผู้อื่นโดยให้ข้อมูลแรกไว้ให้เห็นก่อนเพื่อการพิจารณา
3.อคติจากสิ่งที่สนใจ(Attentional) คุณจะให้ความสนใจกับบางสิ่งในขณะเดียวกันก็เพิกเฉยต่อสิ่งอื่นไปพร้อมๆ กัน ตัวอย่างเช่น เมื่อตัดสินใจว่าจะซื้อรถยนต์คันไหน คุณอาจใส่ใจกับรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน แต่ไม่สนใจความปลอดภัยและระยะทางน้ำมัน
4.อคติในการยืนยัน(Confirmation) : เป็นอคติที่มั่นใจและเชื่อถือข้อมูลสอดคล้องกับความเชื่อของคุณและอะไรที่ไม่ตรงก็จะถูกลดระดับลงหรือละเลยไป
5.อคติจากคนส่วนใหญ่(Group Think) : คืออคติที่ไม่ต้องการแปลกแยกจากคนส่วนใหญ่และมองว่าคนส่วนใหญ่ที่คิดตามๆกันมาน่าจะถูกต้อง
6.อคติที่ว่าใครก็คิดเหมือนคุณ(False Consensus Effect ): คือ การเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองว่าถูกต้องและเป็นเหตุเป็นผลมากเกินไป และยังมองว่าคนอื่นๆ ก็คิดและเห็นด้วยแบบเดียวกับคุณ
7.อคติจากสิ่งที่เห็นภายนอก(Halo Effect) : ความประทับใจโดยรวมของคุณที่มีต่อบุคคลจะส่งผลต่อความรู้สึกและคิดเกี่ยวกับพวกเขา คือ คนที่ดูดีน่าเชื่อถือ ก็มักจะถูกเชื่อว่าข้อมูลหรือสิ่งที่นำเสนอเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเชื่อถือได้และยังมีอิทธิพลต่อคุณที่จะชื่นชอบในคุณสมบัติอื่นๆ ของพวกเขา
8.อคติในการมองโลกในแง่ดี (Optimism bias) : อคตินี้ทำให้คุณเชื่อว่าคุณมีโอกาสน้อยที่จะประสบโชคร้ายและมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนรอบข้าง
9.อคติที่เข้าข้างตนเอง(Self-serving bias) : นี่คือแนวโน้มที่จะตำหนิกองกำลังภายนอกเมื่อมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น และให้เครดิตตัวเองเมื่อมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณชนะไพ่โป๊กเกอร์ นั่นเป็นเพราะทักษะของคุณในการอ่านผู้เล่นคนอื่นและการรู้อัตราต่อรอง ในขณะที่เมื่อคุณแพ้ก็เนื่องมาจากการได้ไพ่ในมือที่ไม่ดี
10.อคติจากคนที่เหนือกว่า (Rankism) : คือเมื่อคนที่มีตำแหน่ง อำนาจ มีชื่อเสียงหรือฐานะทางสังคมที่เหนือกว่า เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อว่าสิ่งที่เค้าคิดและตัดสินใจนั้นถูกต้อง
ความจริงแล้วในเรื่องของอคติ มีหลากหลายรูปแบบและลักษณะ ให้เรียกชื่อและพิจารณา แต่สิ่งสำคัญคือ การให้เราตระหนักว่า ในทุกๆ ครั้งที่เราตัดสินใจ เร็วๆ จะมีอคติเข้ามาอยู่ในความคิดของคนเราอยู่เสมอ ดังนั้นก่อนคิดและตัดสินใจควรมีสติ ไม่ให้มีอคติครอบงำ ในทางพุทธศาสนา พูดเรื่องอคติไว้ 4 ข้อด้วยกัน คือ
- ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ)ความลำเอียงโดยถือเอาความรักใคร่พอใจของตนเป็นที่ตั้ง
- โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง) ความลำเอียงโดยถือเอาความเกลียดชังไม่ชอบกันเป็นที่ตั้ง
- ภยาคติ (ลำเอียงเพราะเขลา)ความลำเอียงด้วยความโง่เขลาเบาปัญญารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่คิดถึงเหตุผลและความถูกต้อง
- โมหาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว)ความลำเอียงด้วยความกลัว หรือเกรงใจ จึงทำให้เกิดความลังเล ไม่มีความมั่นคงในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่น
อคติ ทั้ง4 เป็นปัจจัย ที่ทำให้การตัดสินใจของเรามีความลำเอียงได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าไปปักใจกับสิ่งที่ รัก ชัง เขลา กลัว เพราะทั้ง 4 อย่างนี้เป็นความคิดภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของ กาลามสูตร ที่พูดถึงเหตุแห่งการเชื่อและไม่เชื่อไว้ 10 ประการ คือ
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอคติทางความคิด หรือ ข้อมูลที่ป้อนเข้าให้กับคุณแบบไหน สิ่งที่คุณควรรับรู้และตระหนักไว้ก็คือ เราทุกคนมีอคติ สิ่งที่ทำได้ คือ การชะลอการคิดเร็วเพื่อลดการใช้อคติในการคิดและตัดสินใจ
และให้เห็นเหตุที่แท้จริงโดยพิจารณา ว่าอะไร คือ ปัญหา/สาเหตุ/แนวทางบรรลุเป้าหมาย/และการแก้ไข ตามหลักพื้นฐาน แห่ง อริยสัจ 4
เพราะถ้าคุณปล่อยให้ความคิดเกิดขึ้นเอง สมองจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ง่ายที่สุด เนื่องจากโลกรอบตัวคุณมีความซับซ้อนอย่างแท้จริงและปริมาณข้อมูลในสภาพแวดล้อม และทางลัดมักมีบทบาทสำคัญ
การยอมรับว่ามีอคติ และพิจารณาด้วยเหตุผลและคิดอย่างเป็นระบบ(Systematic) จะเป็นเคล็ดลับในการเอาชนะอคติและนำไปสู่การตัดสินใจที่มีคุณภาพได้
ธวัชชัย บัววัฒน์ , Tawatchai Buawat







ใส่ความเห็น