Kano Model คือ หลักการวิเคราะห์คุณค่าของความต้องการของสินค้าหรือบริการ(Value) เพื่อนำมาพิจารณาว่าสินค้าและบริการที่กิจการต้องทำให้เกิดขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และส่วนใดบ้างที่ไม่จำเป็นต้องมีในสินค้าและบริการเพราะไม่ได้สร้างความประทับใจให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น

ดังนั้นหากเรานำวิธีการสร้างผลิตภัณฑ์ตามคุณค่าที่ลูกค้าประทับใจ มาประยุกต์ใช้ลงไปในกิจกรรมที่เราทำงาน จะทำให้เราสามารถแยกได้ว่ากิจกรรมใดบ้างที่เราควรทำ และอะไรบ้างควรทำลดลง หรือไม่ควรทำเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเปล่า และเมื่อความสูญเปล่าลดลงหรือหมดไป ก็เท่ากับว่า เกิด Productivity ในงานนั้น เพราะเป็นการทำงานเพื่อคุณค่าหรือ ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งเมื่อเราแยก Kano Model ออกมาเป็นกิจกรรมเราจะพบว่ามีสิ่งที่เราควรทำดังนี้
1️⃣Still : ทำต่อไป , กิจกรรม หรืองานอะไรที่เรากำลังทำอยู่ แล้วส่งเสริมให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น สำเร็จมากขึ้น ให้ทำต่อไป ความสัมพันธ์ใดที่ดีอยู่แล้ว รักษาไว้ให้ดี #รักษาสิ่งที่ดีงาม
2️⃣Start: เริ่มทำ, สิ่งใดที่ควรทำ และจำเป็นต้องทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ยังไม่เริ่มทำ ให้เริ่มทำทันทีและให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากขึ้น #เริ่มทำสิ่งที่สำคัญ
3️⃣Stop: หยุดหรือเลิก, สิ่งใดที่เราทำอยู่ แล้วเป็นผลเสียต่อเป้าหมาย ไม่ดีต่ออนาคต ให้หยุด ลด และเลิกในทันที เพราะสิ่งนี้มีอุปสรรคต่อเป้าหมาย ทำต่อไปก็สร้างปัญหาไม่เกิดประโยชน์ #เลิกทำสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษ
4️⃣More: ทำให้มากขึ้น, สิ่งที่ทำแล้วดี สร้างพลังและกำลังใจ เป็นตัวเร่งในการมุ่งสู่ความสำเร็จ ทำอยู่แล้วต้องทำให้มากขึ้นดีขึ้น ให้เวลากับสิ่งนี้เยอะมากขึ้น #ทำดีแล้วทำให้มากขึ้น
5️⃣Less: ทำให้น้อยลง, สิ่งที่สำคัญน้อย หรือ ไม่มีประสิทธิภาพ แต่จำเป็นต้องมีและต้องทำ ก็ให้ทำน้อยลง ลดลงเพื่อให้เหลือเวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการทำสิ่งที่ต้องทำ #ให้ความสำคัญน้อยลงกับสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็น
ธวัชชัย บัววัฒน์ Tawatchai Buawat






ใส่ความเห็น